( iKon ) Hyacinth | DoubleB
Hyacinth 'ไฮยาซินธ์' ดอกไม้ที่มีความหมายถึงความรักที่มั่นคงไม่เปลี่ยนแปร
ผู้เข้าชมรวม
976
ผู้เข้าชมเดือนนี้
4
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
Title: Hyacinth ( 5,138 words )
Couple: Double B
Author: wahneun
Rate: PG
Note: ฟิคแปลงค่ะ
ป.ล.คิดว่าเศร้าในระดับที่คนอ่านอาจจะสาปคนเขียนได้ค่ะ
--------------------------------------------------------------
“เลิกกันเหอะ...”
สิ้นประโยคของคนใจร้าย ร่างบางก็ทรุดลงร้องไห้อย่างไม่อายใคร ท่ามกลางสายตาของคนที่เดินผ่านไปมาบริเวณหน้าหอพักนักศึกษาของคนทั้งสอง คิมจีวอนและคิมฮันบิน อดีตคู่รักที่ใครๆก็ต่างอิจฉา
“ทำไม! จะทิ้งกูไปไหน ทำไมวะบ็อบบี้ กูทำอะไรผิด กูไม่ดีตรงไหน บอกกูสิ บอกกูมา!!” เสียงใสตะโกนลั่นอย่างคนไร้สติ มือบางจับไว้ที่ท่อนแขนแข็งแรงของคนที่เป็นเจ้าของหัวใจ เขย่ามันราวกับว่ายิ่งแรงมากเท่าไหร่จะทำให้ได้คำตอบกลับมา
“กูมีเหตุผลมากพอที่ต้องทำอย่างนี้ฮันบิน มึงยอมรับความจริงเถอะ ความจริงที่ว่าระหว่างเรามันถึงจุดสิ้นสุดแล้วจริงๆ”
“กูไม่เข้าใจเหตุผลเหี้ยอะไรทั้งนั้นแหล่ะ!! ไม่ว่าเหตุผลอะไรมันก็ไม่มากพอ! มึงมันเห็นแก่ตัว มึงจะทิ้งกูไปอย่างนี้ได้ยังไง!!”
อีกฝ่ายไม่แม้แต่คิดจะฟังคำขอร้องอ้อนวอนครั้งสุดท้าย มือแกร่งค่อยๆแกะมือบางที่ฉุดดึงอยู่ให้หลุดออก ก่อนจะค่อยๆหันหลังและก้าวออกห่างไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงคำพูดสุดท้าย...
“มึงต้องเข้มแข็ง ไม่มีกูอยู่ด้วยแล้วมึงก็ต้องอยู่ให้ได้ แค่เป็นห่วงตัวเอง แล้วก็คิดถึงแค่วันนี้ก็พอ...”
“หลังจากนี้ ขอให้โชคดีนะ คิมฮันบิน”
“ไม่!!!! มึงจะทิ้งกูไม่ได้นะ ถ้าไม่มีมึงแล้วกูจะอยู่ได้ยังไง!”
“บ็อบบี้! คิมจีวอน! กลับมานะ!!!!”
ต่อให้ตะโกนเรียกร้องจนตายอีกฝ่ายก็ไม่มีทางหันกลับมา เขาไปแล้ว เขาจากไปแล้ว...
ภาพเหตุการณ์ในอดีตยังคงเด่นชัดในความทรงจำ คนตัวเล็กส่ายศีรษะเบาๆสลัดความคิดที่ดึงให้เขาต้องตกอยู่ในภวังค์ออกไป
เรื่องตั้งแต่เกือบสองปีก่อน แต่ทุกวันนี้คิมฮันบินที่เพิ่งเรียนจบและกำลังจะเริ่มทำงานยังคงไม่เคยลบเลือนมันออกไปได้เลย ยังคงจำทุกๆอย่าง ทุกเหตุการณ์ระหว่างเรา ทุกๆครั้งที่เดินผ่านสถานที่ที่เราเคยไปด้วยกัน ทุกๆสิ่งที่มีความทรงจำร่วมกัน ภาพเหตุการณ์ทั้งสุขและทุกข์ก็มักจะกลับมาฉายซ้ำๆราวกับเป็นภาพยนตร์เรื่องเดิมที่ดูมันจนจำได้ขึ้นใจ
“อย่าทำอะไรเราเลย...ปล่อยเราไปเถอะ...ฮึก...”
“ช่วยไม่ได้ มึงอยากอยู่โรงเรียนเดียวกับอริกูเอง หน้าตาดีซะด้วย หุ่นก็อ้อนแอ้นเชียว”
สัมผัสที่น่าหวาดกลัวของคนที่ตรึงร่างเล็กไว้กับกำแพงทำให้เด็กหนุ่มต้องดิ้นหนีสุดแรง หากแต่ก็ไม่สามารถจะสู้แรงของอีกฝ่ายและหลุดออกจากพันธนาการนี้ได้ มือหยาบที่จับอยู่บนไหล่เล็กออกแรงกดให้ผู้อยู่ใต้อาณัติชิดกับผนังแข็งๆด้านหลัง จมูกโด่งได้รูปคลอเคลียอยู่ที่ลำคอขาว มืออีกข้างที่ว่างอยู่ก็คอยปลดเนคไทและกระดุมเสื้อนักเรียนที่คนตัวเล็กใส่อยู่ออกไปกว่าครึ่งแผง
ฝ่ามือของผู้ถูกกระทำพยายามผลักไสอีกคนออกไปแต่ก็เปล่าประโยชน์ ทั้งๆที่เป็นผู้ชายเหมือนกันแต่พละกำลังกลับแตกต่างกันจนไม่อาจหลีกหนี หมัดหนักๆถูกกระแทกลงบริเวณหน้าท้องทำเอาร่างบางจุกจนตัวงอและไร้แรงจะขัดขืน
“เฮ้ย! ไอ้จีวอนมา หนีเร็ว!!”
“แม่งเอ้ย เสือกมาขัดจังหวะกูจนได้นะมึง” วัยรุ่นผู้ชายที่ล็อคร่างเล็กไว้เอ่ยขึ้นอย่างหัวเสีย ก่อนจะจำใจปล่อยตัวเหยื่อไปเพื่อเอาชีวิตรอดจากคนที่เป็นเหมือนหมาป่าเจ้าถิ่น
คนน่าสงสารที่ถูกปล่อยตัวให้เป็นอิสระทรุดล้มลงกับพื้นปูนในตรอกแคบๆและยังคงไม่สามารถเรียกสติให้กลับคืนมาได้ หลังบางไหวสั่นระริกด้วยความหวาดกลัวจากเหตุการณ์เมื่อครู่ แต่แล้วก็มีเสียงแหบเข้มเสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความชุลมุนวุ่นวาย
“มึงจะหนีไปไหน” เด็กหนุ่มเลือดร้อนวิ่งเข้ามาหวังจะซัดคู่อริที่กล้าบุกมาถึงถิ่น ต้องสั่งสอนให้รู้เสียบ้างว่าไม่ควรดึงคนอื่นมาก้าวก่ายเพียงเพราะใส่ชุดเครื่องแบบนักเรียนที่เหมือนกับเขา แต่เมื่อสายตาพลันไปเห็นเด็กผู้ชายที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยล้มกองอยู่กับพื้นก็เลยจำเป็นต้องปล่อยศัตรูให้หนีไปและตรงเข้าไปหาคนๆนั้นแทน
ร่างแกร่งย่อตัวลงข้างๆกัน คนๆนี้ใส่เครื่องแบบโรงเรียนเขา แต่ว่าจีวอนเองไม่เคยเห็นหน้าคาดตามาก่อน พยายามเพ่งมองสัญลักษณ์ชั้นปีอย่างเนคไทซึ่งถูกปลดออกที่คนตัวเล็กนี้สวมใส่จึงได้รู้ว่าเป็นนักเรียนปีเดียวกัน
“เฮ้ย เป็นไรไหม? เลิกตัวสั่นได้แล้ว พวกมันหนีไปหมดแล้ว” มือหยาบที่พันผ้าพันแผลเอาไว้ยกขึ้นสัมผัสผิวกายของคนตรงหน้า เด็กหนุ่มสะดุ้งเบาๆแต่ก็ไม่ได้หลีกหนีอย่างก่อนหน้านี้ แม้อีกคนจะเป็นคนแปลกหน้า แต่เขาก็รู้สึกได้ว่าคนๆแตกต่างจากคนที่น่ากลัวเมื่อครู่
“มะ...ไม่...ไม่เป็นไร...” น้ำเสียงที่ยังคงสั่นเพราะความตื่นกลัวเอ่ยอย่างยากลำบาก คนตัวเล็กพยายามแล้วที่จะควบคุมไม่ให้สั่นหากแต่ก็ทำไม่ได้
“เพิ่งย้ายมาหรือไง ไม่รู้หรอว่าไม่ควรมาเดินโง่ๆอยู่แถวนี้น่ะ”
“ฉันคิมจีวอน นายชื่ออะไรล่ะ” เด็กหนุ่มเสียงเข้มเอ่ยแนะนำตัวก่อน และถามถึงชื่อใครอีกคนด้วยเช่นกัน
“ฮันบิน...คิมฮันบิน...”
“ช่วยไม่ได้ล่ะนะ นายคงตกเป็นเป้าของมันไปอีกหลายเดือนแน่ๆ ระหว่างนี้ก็อยู่ใกล้ๆฉันไว้ล่ะ เข้าใจไหม?”
จีวอนค่อยๆพยุงคนที่เพิ่งถูกทำร้ายให้ลุกขึ้นยืน ก่อนจะพูดคุยอะไรเล็กน้อยและตกลงว่าจะพาคนตัวเล็กไปทำแผลและไปส่งที่บ้าน
นั่นเป็นครั้งแรกของการพบกันระหว่างเรา...
“โอ๊ยยยยย!”
“แหกปากทำไมล่ะ ทีตอนมีเรื่องล่ะไม่เห็นจะกลัวเลย” เสียงใสเอ่ยขึ้นอย่างหงุดหงิดและลงน้ำหนักบนแผลให้แรงขึ้นไปอีก โทษฐานที่ทำตัวไม่ดีให้เขาต้องมาดูแลแบบนี้ มือเล็กเอื้อมไปหยิบขวดแอลกอฮอล์สำหรับฆ่าเชื้อที่เป็นคนเปิดมันทิ้งไว้มาเทลงบนก้อนสำลีก้อนใหม่ให้ชุ่มมากกว่าเดิมก่อนจะปาดลงไปบนปากแผลอีกครั้ง
“ฮันบิน! เบาๆหน่อย กูเจ็บนะโว้ย!” มือของคนเจ็บยกขึ้นรั้งไม่ให้คนตัวเล็กทำแผลต่อไปอีก ไม่รู้ว่าที่ทำนี่เพราะเป็นห่วงหรือเพราะจะแกล้งให้เขาเจ็บมากกว่าเดิมกันแน่
ร่างเล็กลดมือลงแล้วโยนก้อนสีขาวชุ่มของเหลวสีฟ้าที่เปรอะเลือดคนที่นั่งอยู่บนเตียงคนไข้ลงถังขยะสีแดง ก่อนจะเดินไปควานหาพลาสเตอร์ปิดแผลในกล่องปฐมพยาบาลเบื้องต้นของห้องพยาบาลโรงเรียน ฮันบินเองไม่ได้อยากให้เรื่องเป็นแบบนี้ซ้ำๆ ถึงแม้ว่าจีวอนจะเจ็บตัวน้อยกว่าอีกฝ่ายที่แทบจะต้องหามส่งโรงพยาบาลก็ตามเถอะ
“เสือ-กไปมีเรื่องทำไมล่ะ กูพูดอะไรก็ฟังกูบ้างสิ ดีนะที่แผลมันไม่ลึก” ว่าไปก็เดินกลับมาจัดการปิดพลาสเตอร์ลงบนแผลบริเวณหางคิ้วที่ตนเพิ่งทำความสะอาดไปเมื่อครู่
“ก็มันมาหาเรื่องก่อนจะให้ทำยังไงวะ” คนเจ็บเอ่ยอย่างหัวเสีย ก่อนจะดึงให้คนที่ยืนอยู่นั่งลงข้างๆกันบนเตียงสำหรับผู้ป่วย ดวงตาคมที่ยังคงแฝงไปด้วยความคุกรุ่นและโกรธเกรี้ยวเมื่อนึกถึงคำพูดของคู่กรณีในครั้งนี้ สายตาดุดันมองเข้าไปยังนัยน์ตาสีน้ำตาลของพยาบาลจำเป็นของเขา
“ก็ปล่อยมันไปสิ เป็นหมาหรือไง กัดกันอยู่ได้” ร่างขาวผุดลุกขึ้นอีกครั้งเพื่อไปเก็บอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ตนรื้อออกมาใช้กับคนเลือดร้อน คราวก่อนที่เขาเข้ามาใช้ด้วยเหตุผลเดียวกันนี้ก็โดนคุณครูห้องพยาบาลบ่นจนหูชาเพราะลืมเก็บขวดแอลกอฮอล์เข้าตู้ยาให้เรียบร้อย
“อย่าเดินหนีดิ! ก็มันมาบอกกูว่าอย่าคิดว่าจะมีความสุข ให้คิมฮันบินระวังตัวเอาไว้ จะให้กูทำยังไงวะ!” จีวอนลุกขึ้นดึงคนตัวเล็กกว่าให้หันกลับมา ฝ่ามือแกร่งบังคับให้อีกคนมองหน้าแล้วฟังคำพูดที่เขากำลังอธิบาย น้ำเสียงที่แฝงไปด้วยอารมณ์โกรธเอ่ยขึ้นจนฮันบินยังแอบตกใจ
“แล้วมันทำอะไรหรือยัง ให้มันเกิดขึ้นก่อนได้ไหมค่อยลงไม้ลงมือน่ะ!“ มือบางแกะมืออีกคนออกเพื่อตนจะได้เป็นอิสระและเดินไปเก็บของอย่างที่ตั้งใจไว้
“จะบ้าหรือไง รอให้มันมาฉุดมึงไปก่อนหรอ มึงยังสติดีอยู่หรือเปล่าฮันบิน” ร่างแกร่งลุกขึ้นเดินตามหลังทั้งยังพยายามพูดให้อีกคนเข้าใจ แต่สำหรับฮันบินแล้วคำพูดพวกนี้มันก็แค่คำแก้ตัวเท่านั้นล่ะ
“แล้วมึงล่ะยังสติดีอยู่หรือเปล่า นี่เพิ่งคบกันได้สามอาทิตย์มึงก็มีเรื่องเพราะกูวันเว้นวันเลยด้วยซ้ำ มันจำเป็นหรือไงวะที่ต้องไปต่อยทุกคนที่เข้ามายุ่งกับกูน่ะ” ฮันบินว่าพลางเก็บอุปกรณ์ทุกอย่างให้เข้าที่ ก่อนจะหันมากอดอกมองหน้าคนที่เพิ่งได้ชื่อว่าคนรักเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน ทั้งๆที่ตนได้บอกชัดเจนแล้วว่าอย่าไปมีเรื่องกับใครอย่างที่ชอบทำอีก แต่อีกคนก็ยังขัดคำสั่งเขาจนได้ และหลายครั้งเสียด้วย
“ก็ช่วยดูด้วยว่าแต่ละคนที่เข้ามายุ่งกับมึงน่ะมันใครบ้าง ศัตรูทั้งนั้น กูต้องปกป้องมึงไม่ใช่หรือไง มันก็เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ตอนที่มึงเพิ่งย้ายมาเมื่อเทอมก่อนแล้วนะ” เสียงเข้มเอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้
“มันมีวิธีที่จะปกป้องกูตั้งเยอะแยะไปโดยที่มึงไม่ต้องเจ็บตัวแบบนี้ ใช้สมองบ้างสิ อย่าใช้แต่กำลัง” ดวงตาหวานจ้องมองอีกคนอย่างเบื่อหน่าย เมื่อไหร่จะเข้าใจเขาเสียทีว่าทุกครั้งที่เห็นอีกฝ่ายเจ็บมา แม้จะรู้ว่าเพื่อเขา แต่ฮันบินก็ไม่ได้รู้สึกดีเลย
“ตั้งแต่นี้ไปถ้ามึงยังไม่เลิกนิสัยอันธพาลนะ กูเลิกกับมึงแน่บ็อบบี้ ไม่เชื่อก็ลองดู” ร่างเล็กกล่าวเสียงเรียบก่อนจะหันหลังหนีแล้วเดินออกจากห้องพยาบาลไป จีวอนได้แต่รีบวิ่งตามไปให้ทัน ระหว่างทางก็มีแต่เสียงของทั้งคู่ที่เถียงกันอย่างไม่มีสิ้นสุด คนหนึ่งก็ไม่อยากให้คนรักเจ็บตัว อีกคนก็อยากปกป้องคนรักด้วยวิธีที่ค่อนข้างจะรุนแรงไปเสียหน่อย ใครก็ตามที่ได้เห็นต่างก็ต้องอมยิ้มกับภาพนั้น
คิมจีวอนกับคิมฮันบินนี่เป็นคู่รักที่รักกันจนน่าอิจฉาเสียจริง
สวนสาธารณะแถวโรงเรียนถูกเลือกเป็นสถานที่สำหรับการพักผ่อนในวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้ จีวอนและฮันบินเลือกที่จะมานั่งเล่นรับลมหลังจากเคร่งเครียดกับการเรียนมัธยมปลายปีสุดท้ายมาตลอดสัปดาห์
“อยากไปไหนด้วยกันไหม? มีที่ไหนที่อยากจะไปด้วยกันอีกหรือเปล่า?” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นให้ได้ยินทางด้านหลัง เรียกให้อีกคนต้องหยุดเกมส์ในโทรศัพท์ที่กำลังเล่นอยู่ ฮันบินจำใจวางอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ลงอย่างน่าเสียดาย ร่างเล็กค่อยๆเลื่อนขยับกายออกจากพนักพิงที่มีชีวิต เอี้ยวตัวกลับไปหาแผ่นหลังที่ตนใช้พักพิงจนถึงเมื่อไม่กี่วินาทีก่อน ฝ่ามือขาวเอื้อมไปสัมผัสเบาๆบนลาดไหล่แข็งแรง บ่าแกร่งที่เปี่ยมไปด้วยกล้ามเนื้อมีเสน่ห์น่าหลงใหลโผล่พ้นเสื้อกล้ามที่เจ้าตัวใส่ในยามฤดูร้อนเช่นนี้ ก่อนจะสบเข้ากับดวงตาสีรัตติกาลที่แสนดึงดูดของคนรักที่เพิ่งจะหันใบหน้าคมเข้าหาตน
“ก็มีอีกเยอะแยะเลย แต่ไม่เห็นต้องรีบไปนี่” ร่างบางว่าก่อนจะขยับกายให้หันเข้าหาคนรัก จีวอนเองก็เช่นกัน จากที่เมื่อครู่ทั้งสองนั่งหันหลังชนกัน ในตอนนี้ท่อนแขนแข็งแรงของชายหนุ่มกำลังพาดผ่านไหล่เล็กของอีกคน มือหนาโอบรั้งคนตัวเล็กให้ขยับเข้ามาใกล้ ฮันบินเองก็ขยับศีรษะให้วางพิงในตำแหน่งที่สบายที่สุดบนบ่ากว้าง
“ก็แค่อยากทำทุกอย่างที่จะทำด้วยกันได้ อยากใช้ชีวิตกับมึงให้มากพอที่จะไม่ต้องเสียดายทีหลัง”
“แต่ถ้าเราทำทุกอย่างไปหมดแล้ว มันก็จะไม่มีอะไรให้ทำนะ!”
“ไม่มีใครรู้หรอกว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไง แต่กูอยากใช้เวลาที่เราอยู่ด้วยกันให้คุ้มค่ามากที่สุด”
“โอเคบ็อบบี้ กูรู้ว่ามึงมันคนติสท์ แต่ไม่ต้องพูดเหมือนกับว่าเราจะอยู่ด้วยกันเป็นวันสุดท้ายได้ไหม” เสียงใสเอ่ยอย่างไม่ค่อยชอบใจนักที่คนรักพูดจาไม่น่าฟังเช่นนี้
“นั่นคือคติของกูเลยนะ มึงก็รู้ กูพยายามใช้ชีวิตให้มีความสุขในทุกๆวัน ทำทุกอย่างที่อยากจะทำ เพราะว่าถ้าเกิดวันพรุ่งนี้กูไม่ได้มีชีวิตอยู่แล้ว กูก็จะไม่เสียใจ” เสียงเข้มขาดห้วงไปราวกับหยุดคิดสิ่งที่กำลังจะเอ่ยออกมา แต่มันก็เพียงแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น ไม่นานพอที่จะทำให้ใครอีกคนนึกสงสัยอะไรได้เลยด้วยซ้ำไป
“ถ้าพรุ่งนี้กูตายไป กูก็ไม่เสียใจ เพราะอย่างน้อยกูก็ยังได้รักมึง คิมฮันบิน”
“มึงเป็นบ้าอะไรเนี่ย พูดเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม” ร่างเล็กหน้ายู่กับคำพูดของคนที่ตนพิงกายอยู่
“ก็แค่สมมติ”
“แล้วสมมตินะว่าที่มึงสมมติมันเกิดขึ้นจริงๆ มึงจะไม่สงสารคนที่ยังอยู่บ้างหรือไง”
“แน่ล่ะ ถ้ามึงตายไปแล้วมึงก็ไม่ต้องมาเป็นห่วงอะไร ไม่ต้องใช้ชีวิตยากๆบนโลกใบนี้ ในเมื่อมึงไม่มีชีวิตแล้วนี่ แต่มึงคิดว่ากูจะอยู่ได้หรือไงถ้าเกิดไม่มีมึงอยู่ข้างๆ มึงไม่คิดบ้างหรอว่าถ้าเกิดอยู่ดีๆพรุ่งนี้มึงเป็นอะไรไปต่อหน้าต่อตา กูก็คงจะตายไปพร้อมกับมึงด้วยเหมือนกัน”
“มึงคิดว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันจนผมหงอกเต็มหัวแบบคุณตาคุณยายคู่นั้นไหม” ริมฝีปากสีชมพูได้รูปพยักพเยิดไปทางคู่รักซึ่งแก่ชราที่กำลังจูงมือพากันค่อยๆเดินบนทางเท้าริมถนน ร้านรวงข้างทางมีมากมายละลานตาไปหมด แต่ผู้อาวุโสทั้งคู่ก็ตั้งใจเลือกเดินเข้าร้านอาหารที่ดูเก่าแก่ที่สุดในละแวกนี้ ฮันบินคิดใจว่ามันคงจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกเสียจากร้านประจำตั้งแต่สมัยเมื่อคนทั้งคู่ยังคงอยู่ในวัยหนุ่มสาว และในตอนเย็นของฤดูใบไม้ร่วงแบบนี้ หลังจากเลิกเรียนแล้วเขากับคนข้างกายมักจะไปหาอะไรทานก่อนที่จีวอนจะมาส่งเขากลับบ้าน ฝ่ามือที่สอดประสานกันแน่นด้วยความรักที่เชื่อมใจสองใจให้ดำเนินไปพร้อมๆกัน
“ห่วงแค่วันนี้ก็พอเถอะน่า” ร่างสูงหันมาพูดด้วยสีหน้าหน่ายๆ ส่งผลให้คิ้วเรียวสวยต้องขมวดเป็นปม ความรู้สึกน้อยใจเล็กๆกำลังก่อขึ้น แค่ตอบว่าจะอยู่ด้วยกันไปนานๆ อยู่ด้วยกันจนตายนี่มันยากมากหรือไง?
จีวอนที่เห็นคนรักชักสีหน้าใส่ก็อดไม่ได้ที่จะหลุดขำออกมาเบาๆ แล้วเอ่ยบอกเหตุผลของคำตอบที่เพิ่งพูดไปเมื่อครู่
“ก็บอกแล้วไงว่าให้ใช้ชีวิตอยู่ในวันนี้ก็พอ ถ้ามัวแต่ไปคิดถึงเมื่อวาน หรือกังวลอยู่กับวันพรุ่งนี้ มึงจะไม่มีชีวิตอยู่ที่ไหนเลย ทั้งอดีต ปัจจุบัน หรืออนาคต” มือหนาอีกข้างที่เป็นอิสระยกขึ้นกดลงแรงๆบนระหว่างคิ้วของคนตัวเล็กเป็นเชิงหยอกล้อและสั่งสอน ฮันบินยกมือขึ้นปัดออกด้วยความหงุดหงิด ทั้งยังเดินกระแทกเท้าเป็นเชิงบอกให้อีกคนรู้ว่าไม่ชอบใจ
หากแต่ฝ่ามือบางก็ยังคงจับกุมกับมือหนาไว้ไม่ยอมปล่อย...
แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องแยงตาทำให้ร่างเล็กที่กำลังขดตัวอยู่ภายในผ้านวมผืนหนาต้องลืมตาขึ้น ความปวดเมื่อยจากกิจกรรมเมื่อคืนแล่นริ้วเข้ามาจนต้องขมวดคิ้ว แถมคนที่ควรจะอยู่ตรงนี้กลับหายไปซะได้
คนตัวเล็กอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวโคร่งที่เจ้าของมันใส่เมื่อคืนและเป็นคนใส่ไว้ให้ ฮันบินค่อยๆขยับตัวลงจากเตียง ความเจ็บช่วงล่างส่งผลให้ต้องนิ่วหน้า แต่ขาเรียวก็ค่อยๆก้าวเดินออกไปจากห้องนอนเพื่อหาอะไรทานในเช้านี้
แล้วก็หาตัวคนที่เป็นเจ้าของหัวใจและร่างกายของเขาที่หายหัวไปตั้งแต่เช้าด้วย
‘วันนี้กูมีควิซก็เลยต้องรีบไปก่อน กูจะแวะไปบอกเพื่อนคณะมึงให้ว่าวันนี้มึงจะหยุด ถ้าหิวก็กินนมกล่องในตู้เย็นไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวจะซื้อข้าวกลับมาให้’
“แม่ง มึงนี่มันได้แล้วทิ้งชัดๆ” ร่างเล็กฟึดฟัดกับโพสอิทสีสว่างที่ถูกแปะไว้บนโต๊ะทำงานของตน ก่อนจะเดินไปหยิบนมกล่องในตู้เย็นมาดื่มรองท้องตามที่ใครอีกคนเขียนโน้ตทิ้งไว้ให้
“ไม่ต้องบอกกูก็ได้ว่ามีนมอยู่ในตู้เย็น เพราะนี่มันก็ห้องกูเหมือนกันแหล่ะ” เสียงใสบ่นกับกระดาษแผ่นเดิมก่อนจะเดินกลับไปยังห้องนอนแล้วล้มตัวลงอีกครั้ง
ฮันบินและจีวอนบังเอิญสอบติดมหาวิทยาลัยเดียวกัน เพียงแต่คนละคณะ เขาเลยออกความเห็นเล่นๆว่าให้เช่าหอนอกอยู่ด้วยกันไปเลย ดีกว่าต้องไปอยู่หอในแล้วมีรูมเมทเป็นใครก็ไม่รู้ และจีวอนก็ดันเห็นดีเห็นงามด้วย สุดท้ายก็เลยลงเอยแบบนี้
ฮันบินไม่ได้หมายถึงว่าสุดท้ายก็ลงเอยที่เสร็จมันหรอกนะ!
“เลิกกันเหอะ...”
ลำคอเหมือนตีบตันหลังจากที่เขาเอ่ยคำพูดที่แสนยากลำบากนั้นออกไป ความเจ็บปวดจากการบอกลาแล่นเข้ามาภายในหัวใจของคนแข็งแกร่ง เหมือนกับพิษที่สร้างความเจ็บแสบและปวดร้อนไปทั่วบริเวณที่ถูกมันสัมผัส หากแต่นี่คือพิษรัก พิษที่ไม่มียาใดจะถอนได้...
“ทำไม! จะทิ้งกูไปไหน ทำไมวะบ็อบบี้ กูทำอะไรผิด กูไม่ดีตรงไหน บอกกูสิ บอกกูมา!!” เสียงใสตะโกนลั่นอย่างคนไร้สติ ก่อนจะทรุดลงร้องไห้ต่อหน้า มือของฮันบินเอื้อมมาจับแขนของเขาไว้และออกแรงเขย่าจนเขารู้สึกได้ว่านี่คือแรงทั้งหมดที่เจ้าตัวมี สีหน้าที่เจ็บปวดและแววตาคาดคั้นกำลังทอดมองมายังเขา คนรักที่ไม่เอาไหนคนนี้...
“กูมีเหตุผลมากพอที่ต้องทำอย่างนี้ฮันบิน มึงยอมรับความจริงเถอะ ความจริงที่ว่าระหว่างเรามันถึงจุดสิ้นสุดแล้วจริงๆ” เสียงทุ้มแหบที่จีวอนพยายามควบคุมไม่ให้มันสั่นไหวเอ่ยออกไปอย่างยากลำบาก ถ้าเป็นคนฟังก็คงคิดว่าประโยคนี้มันช่างว่างเปล่า และดูไร้ความรู้สึก แต่คนที่รู้ดีคือเขาเอง รู้ดีว่ามันเต็มไปด้วยความเจ็บปวด...
“กูไม่เข้าใจเหตุผลเหี้ยอะไรทั้งนั้นแหล่ะ!! ไม่ว่าเหตุผลอะไรมันก็ไม่มากพอ! มึงมันเห็นแก่ตัว มึงจะทิ้งกูไปอย่างนี้ได้ยังไง!!”
เขาไม่ขอฟังคำขอร้องอ้อนวอนครั้งสุดท้าย เพราะหากยิ่งได้ยิน มันก็ยิ่งยากในการจากไป... มือแกร่งค่อยๆแกะมือบางที่ฉุดดึงตนไว้ให้หลุดออก ก่อนจะหันหลังและก้าวออกห่างไปอย่างรวดเร็ว เสียงเข้มพยายามเอ่ยคำพูดสุดท้าย...
“มึงต้องเข้มแข็ง ไม่มีกูอยู่ด้วยแล้วมึงก็ต้องอยู่ให้ได้ แค่เป็นห่วงตัวเอง แล้วก็คิดถึงแค่วันนี้ก็พอ...”
“หลังจากนี้ ขอให้โชคดีนะ คิมฮันบิน”
“ไม่!!!! มึงจะทิ้งกูไม่ได้นะ ถ้าไม่มีมึงแล้วกูจะอยู่ได้ยังไง!”
“บ็อบบี้! คิมจีวอน! กลับมานะ!!!!”
เสียงเรียกที่ฟังดูเหมือนกับจะขาดใจของคนที่ตนรักดังขึ้น เป็นเหมือนบ่วงเชือกที่คอยดึงรั้งให้เขาหันกลับไป
ขอโทษ... ฮันบิน... กูขอโทษ...
หลังจากเหตุการณ์วันบอกเลิกที่แสนเจ็บปวดและไม่น่าจดจำนั้นก็ไม่มีใครได้พบเจอคนทั้งคู่อีก...
คิมฮันบินตัดสินใจย้ายออกและมีโอกาสไปใช้ทุนศึกษาต่อที่ต่างประเทศ จากลาบ้านเกิดไปไกลเพื่อหวังจะหลีกหนีเรื่องราวที่แสนเจ็บปวด และหลบเลี่ยงผู้ชายคนที่ไม่ว่ายังไงก็จะเป็นคนที่ตนจะรักและไม่มีทางลบเลือนออกไปจากหัวใจ...
และไม่มีใครพบเจอหรือรู้ข่าวคราวของคิมจีวอน จนกระทั่งวันที่ฮันบินกลับมายังบ้านเกิดอีกครั้งเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ เมื่อเวลาผ่านไปความเจ็บปวดก็เบาบางลงหากแต่ยังคงทิ้งตะกอนไว้ในใจเสมอ ความรักอาจไม่มากเท่าเมื่อครั้งที่อยู่ด้วยกัน แต่ก็ยังคงเหลือความผูกพันที่มากมายและลึกซึ้งเกินกว่าจะสิ่งใดจะตัดขาด
“ฮันบิน...ลูก...แม่เข้าไปได้หรือเปล่า?”
เสียงของผู้เป็นมารดาที่ดังขึ้นด้านนอกเรียกให้เขาต้องวางมือจากอัลบั้มรูปเก่าๆที่หยิบออกมาดูและรำลึกถึง รูปถ่ายเป็นสิ่งเดียวที่จะไม่เปลี่ยนแปลงไป แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนานสักเท่าไหร่ก็ตาม
“ครับ เข้ามาเลย” เจ้าของห้องเอ่ยตอบก่อนจะเก็บกล่องความทรงจำนั้นลงไปยังที่ๆมันเคยอยู่ หญิงวัยสี่สิบปลายๆเปิดประตูห้องแล้วเดินเข้ามานั่งลงข้างๆบุตรชายซึ่งนั่งบนเตียงอยู่ก่อนแล้ว มือที่เริ่มมีริ้วรอยเอื้อมจับกุมกับฝ่ามือที่ใหญ่กว่าของลูกคนโตเอาไว้ ก่อนจะเริ่มเอ่ยสิ่งที่เก็บไว้มานานให้อีกคนได้รับรู้เสียที
“ฮันบิน...แม่คิดว่ามันคงถึงเวลาที่จะบอกลูกได้แล้ว...”
“จีวอนน่ะ...เขาจากเราไปไกลแล้วนะ...”
คิ้วเรียวได้รูปขมวดแน่นหลังจากสิ้นประโยคนั้นของผู้ให้กำเนิด ไม่เข้าใจความหมายในข้อความที่ได้ยินเท่าไหร่นัก... หรือลึกๆแล้วเขาอาจพอจะรับรู้ได้ว่ามันคืออะไร ได้แต่ภาวนาว่ามันจะไม่ใช่สิ่งที่คิด...
“แม่พูดเรื่องอะไร...”
“แม่รู้ว่ามันยากที่จะยอมรับนะลูก...”
“แม่อย่ามาโกหก บ็อบบี้บอกให้แม่มาพูดแบบนี้กับผมใช่ไหม แม่ไปเจอมันมาหรอ มันอยู่ที่ไหน”
“แม่จะโกหกทำไมล่ะ...การที่ใครสักคนตายจากไปมันไม่ใช่เรื่องล้อเล่นหรอกนะฮันบิน” น้ำเสียงที่จริงจังและแฝงไปด้วยความสั่นไหวเล็กๆ ดวงตาที่มองมายังเขาไม่มีแววหยอกล้ออยู่เลยแม้แต่น้อย
“ตั้...ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ...” น้ำเสียงของลูกชายสั่นสะท้านจนคนเป็นแม่ยังสัมผัสได้อย่างชัดเจน เธอรู้ว่านี่จะเป็นเรื่องที่ทำให้ลูกชายของเธอเสียใจยิ่งเสียกว่าคราวก่อนที่โดนผู้ชายคนเดียวกันนี้บอกเลิกอีกหลายร้อยหลายพันเท่า
“สักปีครึ่งได้แล้วล่ะจ้ะ...”
“ที่เขาทิ้งลูกไป ก็เพราะเขารู้ว่าเวลาของเขาเหลืออีกไม่มากแล้ว... เขาเป็นมะเร็งสมอง...และปฏิเสธที่จะรับการรักษามาตลอด เพราะเขาไม่อยากให้ลูกรู้และต้องกังวล ก่อนที่จะบอกเลิกกับลูกอาการเขาแย่ลง หลังจากลูกไปเขาก็ทรุดหนัก เขาน่ะ..อยากอยู่กับลูกให้มากที่สุดจนกว่าจะถึงวันที่เขาไม่ไหวแล้วจริงๆ”
“เขาฝากนี่ไว้ แต่กำชับไม่ให้แม่บอกลูกเรื่องเขาเด็ดขาดจนกว่าจะถึงเวลา... จนกว่าจะถึงวันที่ลูกได้มีชีวิตที่ดี มีหนทางของลูกเอง...”
มารดายื่นซองจดหมายสีขาวให้กับบุตรชายคนโต วางมันลงบนมือของผู้รับตามจ่าหน้าซอง ฝ่ามือบางสั่นระริกจนน่ากลัวว่าจะทำมันร่วงหล่น
เป็นไงบ้าง? ถ้าได้อ่านจดหมายฉบับนี้ก็แสดงว่ามึงต้องสบายดีแน่ๆล่ะนะ ใช่ไหม?
กูไม่รู้ว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนดี เพราะมันมีหลายอย่างที่กูอยากจะบอกกับมึง...
แต่กูอยากให้มึงรู้ไว้นะฮันบินว่ากูรักมึงมาก มากเท่ากับชีวิตของกู หรืออาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ มึงเป็นทุกอย่างของกู ไม่ว่าจะเพื่อน คนรัก ครอบครัว หรืออะไรก็ตาม... และกูเชื่อว่าสำหรับมึงแล้ว กูก็เป็นทั้งหมดนั่นด้วยเหมือนกัน
มึงไม่ต้องเสียดายหรอกนะที่เราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกแล้ว... เพราะถ้ามึงเสียดายล่ะก็ กูก็คงหลับอย่างไม่เป็นสุขสักเท่าไหร่... มึงต้องเข้าใจและยอมรับทุกสิ่งที่มันเกิดขึ้น กูไม่มีวันอยู่กับมึงได้ตลอดกาล... และมึงเองก็ต้องมีชีวิตที่ดีต่อไป เข้าใจใช่ไหม? อย่างน้อยๆชีวิตนี้กูก็ได้รักและได้ใช้เวลาร่วมกับมึง ทุกๆวินาทีที่เราอยู่ด้วยกัน นั่นคือช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดของกู ตั้งแต่เกรดเก้าใช่ไหม ห้าปีเชียวนะ ห้าปีที่เราได้ใช้ชีวิตร่วมกัน
มึงจะอยากได้ยินคำขอโทษของกูไหม? หรือมึงอาจจะโกรธเกลียดกูจนฉีกจนหมายนี่ทิ้งไปแล้วก็ได้ แต่กูอยากบอกกับมึงว่า ขอโทษ... แต่ที่กูต้องทำแบบนั้นก็เพื่อตัวมึงเอง มึงต้องอยู่ต่อไป มีความสุขบนโลกนี้ แม้ว่าจะไม่มีเราอีกแล้วก็ตาม... กูจะจากไปทั้งๆที่ยังมีมึงอยู่ข้างๆไม่ได้เด็ดขาด... นี่ล่ะคือเหตุผลที่กูบอกในวันนั้นว่ามันมากพอ และสุดท้ายมึงก็ต้องเข้าใจมันในสักวัน
อย่าหยุดชีวิตไว้ที่กูเลย ชีวิตมึงมันยังอีกยาวไกล และโชคร้ายที่กูไม่ได้รับโอกาสนั้น อย่าเอาแต่ร้องไห้ มึงต้องเข็มแข็งนะรู้ไหม ให้ความเจ็บปวดทั้งหมดอยู่แค่ที่กูก็พอ กูรู้ว่ามึงต้องทรมานแค่ไหน เพราะกูเองก็ไม่ต่างกัน... กูจะเป็นแค่อดีตที่เจ็บปวดและไม่น่าจดจำของมึงเท่านั้น กูเป็นคนรักที่ไม่เอาไหน ชอบทำให้มึงไม่พอใจ แล้วยังจะมาทำให้มึงเสียใจแบบนี้อีก กูนี่มันแย่จริงๆเลยนะ มึงว่าไหม...
ดูแลตัวเองด้วยล่ะ กินข้าวให้ตรงเวลา แล้วก็กินเยอะๆ กูชอบเวลามึงมีเนื้อมีหนังมากกว่าตอนผอมแห้งนะ อย่าให้เจ็บป่วยด้วย ถ้าเป็นหวัดก็ต้องไปหาหมอ อย่าปล่อยไว้เพราะคิดว่าเดี๋ยวก็หายเองเข้าใจไหม?
มีชีวิตที่ดีและอยู่ต่อไป มีความสุขเผื่อกูด้วยนะ คิมฮันบิน...
BOBBY
Jan 20xx
ช่อดอกไฮยาซินธ์สีฟ้าถูกวางลงข้างๆแผ่นหินสี่เหลี่ยมหนึ่งในหลายร้อยอันบนพื้นหญ้า ดอกไม้ที่มีความหมายถึงความรักที่มั่นคง... สถานที่ที่เงียบสงบและกว้างใหญ่แต่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความเศร้าโศก ที่ซึ่งไม่ว่ามองไปทางไหนก็จะมีแต่ผู้คนที่ไร้ซึ่งรอยยิ้ม
ดวงตาหวานกวาดมองบนอักษรที่ถูกสลักด้วยความประณีตสวยงาม หากแต่ไม่ใช่ด้วยความชื่นชม ขอบตาร้อนผ่าว น้ำใสรื้นอยู่ในหน่วยตาจนทำให้มองเห็นอะไรไม่ชัดเจน แต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้ามันก็เด่นชัดยิ่งเสียกว่าอะไร...
KIM J.W.
19xx – 20xx
“ถ้ามึงคิดจะบอกกูสักครั้ง...” เสียงใสสั่นเครือ หยดน้ำตาเม็ดโตกลิ้งลงบนแก้มเนียนใส มือขาวยกขึ้นมาปิดกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ มรณะศิลาจารึกที่ปรากฏชื่อของใครคนนั้น ความจริงที่ยากจะทำใจ...
“มึงมันไม่ฉลาดเลยนะที่เลือกทำแบบนี้...แต่มึงจะยังคงมีชีวิตอยู่ในความทรงจำของกูนะบ็อบบี้...มึงจะไม่มีวันตายไปจากชีวิตกู...กูสัญญา...”
น้ำตาเป็นตัวบอกได้ดีถึงความเสียใจที่ถาโถมเข้าใส่ คนตัวขาวทรุดร่างลงต่อหน้าหลุมศพของคนที่ตนรักอย่างอ่อนแรง อยากจะปฏิเสธและวิ่งหนีความจริงไปแต่ก็ทำไม่ได้ ในเมื่อมันคือสิ่งที่เขาต้องยอมรับ...
“แต่ยังมีอีกอย่างนึง... ที่ทำให้กูเสียดายเพราะเรายังไม่ได้ทำด้วยกัน”
“คืออยู่ด้วยกันไปจนตาย...”
คิมฮันบินก้มหน้าลงซุกกับฝ่ามือของตัวเอง เสียงสะอื้นยังคงดังออกมาเป็นระยะ พยายามอดกลั้นความเศร้าเสียใจที่มีก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งเพื่อกล่าวประโยคที่คิดว่าคนรักคงอยากจะได้ยินมันจากปากเขา
“มึงไม่ต้องเป็นห่วงกูหรอกนะ... กูมีชีวิตอยู่ได้... ฮึก...”
“กูจะต้องอยู่ให้ได้...จริงๆ...ถึงแม้ว่า...จะไม่มีมึงอยู่ข้างๆอีกแล้วก็ตาม...”
-THE END-
ผลงานอื่นๆ ของ wahneun ♡ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ wahneun ♡
ความคิดเห็น